การวิ่งฮาร์ฟมาราธอนครั้งแรก: จากความตั้งใจเล็ก ๆ สู่เส้นชัยที่ยิ่งใหญ่

 


การวิ่งฮาร์ฟมาราธอนครั้งแรก: จากความตั้งใจเล็ก ๆ สู่เส้นชัยที่ยิ่งใหญ่


เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้เขียนได้ทำสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้มาก่อน นั่นคือการวิ่งฮาร์ฟมาราธอนเป็นครั้งแรกในชีวิต 21.1 กิโลเมตรที่เต็มไปด้วยเรื่องราว ความพยายาม และแรงบันดาลใจ ซึ่งอยากจะบันทึกไว้ และเผื่อว่าใครที่กำลังลังเลหรืออยากจะเริ่มต้นวิ่ง อาจได้รับแรงกระตุ้นเล็ก ๆ จากประสบการณ์นี้


จุดเริ่มต้นของการวิ่งครั้งนี้ไม่ได้มาจากความฝันอันยิ่งใหญ่ หรือความมุ่งมั่นจะเป็นนักวิ่งระดับโลก แต่มาจากความตั้งใจที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ในชีวิต หลังจากที่ออกกำลังกายมาสม่ำเสมอหลายปี ก็เริ่มรู้สึกว่าอยากให้แต่ละปีมีสิ่งใหม่ ๆ ที่ได้ลองทำในช่วงชีวิตของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ผู้เขียนสัญญากับตัวเองว่าจะหาอะไรใหม่ ๆ ทำให้ได้ทุกปีหลังจากวันเกิด และปีนี้ก็คือ "การวิ่งฮาร์ฟมาราธอน" ซึ่งเป็นการลงงานวิ่งเป็นงานแรกในชีวิตด้วย ตอนที่สมัครใจหนึ่งก็คิดว่าตัวเองบ้าหรือเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ งานแรกก็ฮาล์ฟมาราธอนเลย แต่ก็นั่นแหละอยากทำอะไรที่ท้าทายตัวเอง 

ผู้เขียนมีเวลาในการซ้อมและเตรียมตัวทั้งหมดประมาณ 6 เดือน ซึ่งในตอนแรกก็ดูเหมือนจะเพียงพอ แต่ความจริงคือชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ช่วง 2 เดือนก่อนวันแข่ง โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม ซึ่งควรเป็นช่วงเวลาซ้อมหนัก กลับกลายเป็นช่วงที่แทบไม่ได้วิ่งเลย งานรัดตัวจนไม่มีเวลา แม้จะมีความกังวล แต่ก็ไม่อยากยอมแพ้กลางทาง เพราะการวิ่งครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่การออกกำลังกาย แต่มันเป็น "คำสัญญากับตัวเอง"

เป้าหมายที่ตั้งไว้คือ อยากวิ่งให้จบภายใน 2 ชั่วโมง 15 นาที เป็นเวลาที่คิดว่าท้าทายแต่เป็นไปได้ในสภาพการซ้อมของตัวเอง แต่เมื่อการซ้อมไม่ได้เป็นไปตามแผน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวว่าเราจะไปไม่ถึงเป้าหมายนั้น


จนกระทั่งถึงวันจริง ปล่อยตัวตี 5 ที่อากาศหนาวเย็นกว่าที่คิด และเป็นช่วงที่ฝุ่น PM 2.5 หนามาก เลยตัดสินใจไม่เช็คค่าฝุ่นก่อนวิ่ง มองดูทุกคนรอบตัวดูมีประสบการณ์มากกว่าผู้เขียนหมด แต่ในตอนนั้นบอกตัวเองว่า “แค่ไม่หยุด ก็ถือว่าชนะแล้ว” เสียงนับถอยหลังเริ่มดังขึ้น และเราทุกคนก็เริ่มออกวิ่ง

ช่วงแรกของการวิ่ง ผู้เขียนพยายามคุมเพซให้พอดีเหมือนตอนซ้อม ไม่เร่งเกินไป เพื่อรักษาพลังไว้ให้ถึงปลายทาง วิวสองข้างทางยังมืดแต่เต็มไปด้วยแสงไฟและเสียงเชียร์จากอาสาสมัครที่มาร่วมให้กำลังใจ ทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด การวิ่งในความเงียบของเช้ามืดทำให้ใจสงบ ได้อยู่กับตัวเองจริง ๆ ชอบความรู้สึกนี้มาก 


กิโลเมตรที่ 10 ผ่านไปเร็วกว่าที่คิด เริ่มรู้สึกได้ว่า แม้จะไม่ได้ซ้อมในเดือนสุดท้าย แต่ร่างกายก็ยังตอบสนองได้ดี อาจเป็นเพราะพื้นฐานการออกกำลังกายที่ทำมาโดยตลอดหลายปีช่วยไว้ได้มาก

เมื่อเข้าสู่กิโลเมตรที่ 19 ความเหนื่อยเริ่มมาเยือนอย่างจริงจัง แต่ในหัวกลับมีแค่ความคิดเดียวว่า “อีกนิดเดียวเท่านั้น” นึกถึงตอนที่ตัดสินใจสมัคร นึกถึงตอนไปซื้อรองเท้าวิ่ง นึกถึงหูฟังราคาแพงที่สามีซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด และวันที่เหนื่อยจนอยากยอมแพ้ แต่มาวันนี้ เหลือเพียงแค่ 2 กิโลเมตรสุดท้ายแล้ว ตัดสินใจเร่งความเร็วขึ้นอีกนิด แต่แล้วนาฬิกาที่ข้อมือก็ร้องเตือนว่า HR สูงเกินไป จำใจต้องผ่อนฝีเท้าลงและวิ่งเพซเดิมไปจนถึงเส้นชัย

สุดท้าย ผู้เขียนเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 14 นาที 42 วินาที เร็วกว่าที่ตั้งใจไว้เพียงเล็กน้อย แต่ความรู้สึกในตอนนั้นยิ่งใหญ่กว่าตัวเลขใด ๆ ทั้งสิ้น มันคือความรู้สึกของการไม่ยอมแพ้ การรักษาคำสัญญากับตัวเอง และการเอาชนะความกลัวในใจ


ที่สำคัญกว่านั้น คือหลังวิ่งจบ ไม่เหนื่อยมากอย่างที่คิด อาจเพราะใจมันพองโตเกินกว่าความล้าใด ๆ จะกลบได้

ประสบการณ์ครั้งนี้สอนให้รู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องพร้อมที่สุดถึงจะเริ่มทำอะไรบางอย่าง ขอแค่มีเป้าหมาย มีความตั้งใจ และไม่ยอมแพ้กลางทาง ถึงจะเหนื่อย ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็จะไปถึงเส้นชัยของตัวเองได้เสมอ




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีเผาเตาอบ ก่อนการใช้งานครั้งแรก

มาแปลงร่างข้าวต้มกุ๊ย มาเป็นข้าวต้มทรงเครื่องกัน

หลนไตปลา สมุนไพรเน้น ๆ อร่อยจนข้าวหมดหม้อ